ห่างหายไปนานเลย กลับมาอีกทีก็ผ่านพ้นปีใหม่ไปเดือนนิด ๆ แล้ว
ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ย้อนหลัง และสวัสดีเดือนแห่งความรักละกันนะคะ ขอให้เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความน่ารักเนอะ
หลังจากเรียนจบ ย้ายกลับมาอยู่ไทย ได้การได้งานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเลย ส่วนใหญ่ก็ทำงาน ทำงาน ทำงาน กลับบ้าน กลับไปเยี่ยมครอบครัวบ้าง แล้วก็ทำงานอีก สำหรับกุ๊กแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีคุณภาพสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับแย่จนทำให้จิตใจบอบช้ำจนไป
หลังจากทำงานอย่างหนักหน่วง ก็มีคนใจดีชวนไปฉลองปีใหม่ที่ญี่ปุ่นด้วยละค่ะ
ถึงจะบอกว่ามีคนใจดีชวนไปเที่ยว แต่จริง ๆ แล้วก็เดินทางคนเดียว และก็ได้มีอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเองล่ะค่ะ
ครั้งนี้ เราเดินทางไปญี่ปุ่นช่วงวันที่ 29 ธันวาคม 2561 และกลับมาถึงไทยวันที่ 6 มกราคม2562 ด้วยสายการบิน ANA วู้ววววว เที่ยวข้ามปีไปเลยล่ะ
เราไม่ได้ตื่นเต้นกับการไปญี่ปุ่นครั้งนี้สักเท่าไหร่ เสื้อผ้าก็เอาไปน้อยมาก ของที่เตรียมไปก็ไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นของฝากให้เพื่อนกับครอบครัวเพื่อนซะส่วนใหญ่
ไม่ตื่นเต้น แต่ก็รอคอยเหมือนกันนะ
นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ไปเหยียบโตเกียว นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้พูดแต่ภาษาญี่ปุ่น นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้รับความรักจากคนที่นั่น . . .
29 ธันวาคม
เราขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิแต่เช้า หลังเครื่องประกาศดีเลย์อยู่ครั้งสองครั้ง เรานั้นก็ขึ้นเครื่องปุ๊บหลับปั๊บแบบไม่ได้เสพความบันเทิงใด ๆ บนเครื่อง กว่าจะตื่นอีกทีก็รอทางอาหารสาย ๆ ก่อนจะกลับยาวต่ออีกรอบ ถือเป็นหกชั่วโมงที่ได้หลับแบบมีคุณภาพเลยทีเดียว เราแลนด์ที่นาริตะประมาณบ่ายสามของวันเดียวกัน กลายเป็นว่าถึงเร็วกว่ากำหนดเวลาเดิม
กัปตันประกาศให้เรารับรู้ว่า อากาศข้างนอกหนาวนะ เวลาเร็วกว่าที่คิดนะ แล้วเราก็ทยอยลงจากเครื่องกัน
ระหว่างที่เดินออกจากเครื่อง ลมหนาววูบแรกก็เข้ามาในตัวอาคาร คือ แบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่า ลม お帰り (ต้อนรับกลับบ้าน) เราเลยพึมพำ ただいま (กลับมาแล้วนะคะ) ไปหน่อยนึง
ตามกำหนดการแล้วเพื่อนเราต้องมารับทีสนามบินตอนที่เราไปถึง แต่ด้วยความตลกของเพื่อน นางไปแวะเทอมินัลอื่นอยู่ เลยทำให้เราต้องยืนรออีกสิบนาที ก่อนจะไปคัมไปมื้อแรกกันในร้านอาหารของสนามบิน
การเดินทางครั้งนี้ เราฝากตัวไว้กับบ้านเพื่อนครึ่งทริปและนอนโรงแรมอีกครึ่งนึง ถึงจะได้นอนฟรีแค่ครึ่งทริปแต่ก็ประหยัดค่าโรงแรมไปได้ครึ่งหมื่นอยู่นะ อุ่นใจไม่เท่าอุ่นกระเป๋าเงินแล้วล่ะงานนี้
30 ธันวาคม
เราเป็นสายพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เพื่อนเลยจัดแจงออกเดินทางจากบ้านในชิบะ ไป Kamogawa Sea World ที่ห่างออกไปร่วม 2 ชั่วโมง เราแพ็คขนมกับเครื่องดื่มกันเสร็จสรรพขึ้นรถไฟ นั่นเม้าท์มอย กินขนม ดูวิวอะไรไป จากสถานีรถไฟ ต้องเดินไปอีกร่วม 20 นาทีเพื่อให้ถึง Sea World และเพราะว่าบริเวณนี้อยู่ติดทะเล ทำให้อากาศหนาวกว่าปกติ
อากาศหนาวแค่ไหน คนก็ยังเยอะอยู่ดี ข้างในจัดแบ่งเป็นธีมแม่น้ำ เราใช้เวลาที่นี่ตลอดช่วงบ่าย กว่าจะกลับก็พระอาทิตย์ลับฟ้าไปเสียแล้ว
เรานั่งรถไฟขบวนเดิมกลับบ้าน เป็นสองชั่วโมงที่ยังนั่งแทะขนม อ่านหนังสือ และเล่นเกมต่อคำกันอย่างเคย . . . ไม่ว่าเราจะโตแค่ไหน ชีวิตก็อาจจะต้องการแค่สามอย่างนี้จริง ๆ ก็ได้เนอะ
มื้อเย็นของวันนี้ เพื่อนเราลงมือทำโอโคโนมิยากิ (พิซซ่าญี่ปุ่น) ให้ทาน ส่วนเราก็รับหน้าที่ชงซุปมิโสะเหมือนเดิม พอคัมไปกันเสร็จ กินข้าว ดูทีวีแล้ว แพลนว่าพรุ่งนี้จะไปไหนเสร็จก็แยกย้ายกันเข้านอน
31 ธันวาคม – 1 มกราคม
วันนี้เราตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะว่าร่างกายต้องการออนเซ็น ใครที่มาญี่ปุ่นแล้วยังไม่เคยออนเซ็น อยากให้ลองสักครั้ง คิดไว้ว่า ความเขินอายนั้นจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว หลังจากผ่านการออนเซ็นครั้งแรกไปแล้ว ไม่มีใครไม่ติดใจเลยนะ 🙂
เราแวะไปออนเซ็นแถว ๆ บ้าน (จริง ๆ ก็ไกลอยู่ เดินไปตั้งครึ่งชั่วโมงแหนะ) แล้วก็ตรงไป Chiba Port Tower และพอไปถึงก็ได้รับรู้ว่า เขาปิดจ่ะ เลยกลายเป็นว่าเดินเล่นแถว ๆ นั้นไป ก่อนจะไปแวะซื้อของฝากให้คุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนนิดหน่อยแล้วแวะไปเยี่ยมบ้านเพื่อน
ตอนแรกเราคิดกันว่าจะไปแวะร้านโซบะ กินโซบะก่อนปีใหม่กัน (คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าคนวันสิ้นปีให้ทานโซบะกันค่ะ) แต่กลายเป็นว่าคุณแม่ของเพื่อนทำโซบะกับเทมปุระรอไว้ให้แล้ว เราก็เลยอิ่มจังตังค์อยู่ครบไปอีกมื้อ หลังจากทานอาหารเสร็จก็ได้ขนมญี่ปุ่นมาเติมกระเพาะของหวานต่อ ก่อนจะนั่งดูทีวีสิ้นปีกัน . . . และแน่นอนจ่ะ นี่ไม่คุยกับใครเลย ตั้งใจดูทีวีมาก กลัวฟังไม่รู้เรื่อง กลายเป็นว่า โดนน้องชายเพื่อนสะกิดเรียกให้มาคุยกันบ่อย ๆ
คืนข้ามปีปีนี้ เราไป Countdown ที่โยโกฮาม่า นั่งรถไฟจากโตเกียวไปชั่วโมงกว่า นับถอยหลังเสร็จ แดนซ์กระจาย ดื่มข้ามคืนกันเสร็จ ขากลับใช้เวลาไปห้าชั่วโมง ระหว่างนั้นก็มีการวิ่งให้ทันรถไฟรอบสุดท้ายของชั่วโมงนั้นประปราย
ใช่ เราถึงบ้านที่ชิบะตอนตีห้ากว่า ๆ
กว่าจะฟื้นก็เกือบเที่ยง เราก็งอแงจะไปออนเซ็นอีกแล้ว เพื่อนเลยแพลนว่า ไปเที่ยวนาริตะซังก่อนแล้วค่อยแวะไปออนเซ็น
เราออกมานาริตะซังเพื่อขอพรปีใหม่ช่วงบ่าย ต่อแถวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้ขอพร
เมืองนาริตะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านเซมเบ้และอูนากิ หรือข้าวหน้าปลาไหล อยู่ห่างจากสนามบินนาริตะแค่สถานีรถไฟเดียวเท่านั้นเอง ทั้งเมืองเหมือนมีขายอยู่แค่สองอย่างนี้เลยนะ บรรยากาศก็เป็นเมืองเก่าที่สวยงามพอตัวเลยทีเดียว ถ้ามีเวลาก่อนขึ้นเครื่องกับ แวะมาเดินเล่นก็ดีเหมือนกันนะ
หลังขอพร เราแวะเสี่ยงทายหน่อยนึง แทน แท้น . . . จะเป็นปีที่ดีเยี่ยมจ้า
แต่อดไปออนเซ็นเพราะมั่วแต่เที่ยวกันจนดึกดื่น
02 มกราคม
ตื่นเช้าเพราะร่างกายกระหายออนเซ็น ฮืออออ นี่มันยาเสพติดเหรอ
สุดท้ายก็ได้ไปออนเซ็นสมใจ ครั้งนี้แช่ไปเกือบชั่วโมง ออกมาตัวแดงไปหมดเลยเชียว จากนั้นก็ทานโซบะไปอีกมื้อ โซบะกับเบียร์ก็เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้นต้องไปร่วมงานปีใหม่แบบญี่ปุ่นกับครอบครัวของเพื่อน (เป็นปีที่สาม) เกร็งเหมือนเคยเพราะว่าทุกอย่างเป็นญี่ปุ่นไปหมด
ประเพณีของครองครัวนี้ คือ จะมีการเล่าเรื่องสำคัญ ๆ ของปีที่แล้วกัน และแน่นอน เราก็ต้องพูด ตัวสั่นรวนไปหมด จากนั้นคุณพ่อของเพื่อนก็มาคุยเล่นกับเรา เราก็เป็นสายรินเหล้า รินเบียร์ ยกอาหารให้ไป สนุกสนานกันอยู่หกชั่วโมงกว่า กว่าจะโดนปล่อยตัวกลับบ้าน
วันนี้เราย้ายออกจากบ้านเพื่อน จากพรุ่งนี้ไปเพื่อนเราต้องไปต่างจังหวัดเรื่องงาน ถือว่าช่วงที่พักฟรี อาหารฟรีได้จบลง
03 มกราคม
วันแห่ง disney sea 🙂
เป็นอีกวันที่สนุกมาก ๆ เล่นเกือบทุกอย่างเลย วันนี้ ความชื้นในอากาศต่ำมาก รู้สึกว่าจะไม่ถึงสิบเปอร์เซนต์ด้วยซ้ำ ระหว่างที่ยืนรอเครื่องเล่นท่ามกลางความเหน็บหนาว ก็ผิวแห้งจนต้องเติมโลชั่นกันอยู่เรื่อย ๆ
ผ่านการมาสวนสนุกฤดูหนาวครั้งนี้แล้วบอกได้เลยว่า จากนี้ไป ให้ไปสวนสนุกฤดูอะไรก็ไปได้หมดแล้ว เพราะฤดูหนาวเนี่ยทรมานที่สุดแล้ว
04 มกราคม
เดินเที่ยวในเมืองโตเกียว กินแล้วก็ช้อป แล้วก็กินแล้วก็ช้อป แล้วก็กินแล้วก็ช้อป
จากนั้นเราก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ศิลปะโตเกียว แล้วก็กินแล้วก็ช้อป แล้วก็กินแล้วก็ช้อป
ตอนกลางคืนที่โรงแรมมีเรื่องน่าตกใจนิดหน่อย อยู่ดี ๆ สัญญานไฟไหม้ดัง จากนั้นก็ประกาศว่าชั้นแปดไฟไหม้ (ห้องพักเราอยู่ชั้นห้าและเรากำลังอาบน้ำ) ก็เลยรีบแต่งตัวออกมาดู ปรากฎว่าจริง ๆ แล้ว เป็นการเตือนผิดพลาด ทำเอาใจหวิว ๆ ไปทั้งตึก
05 มกราคม
เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากช้อป เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่ของน่ารัก จากนั้นกลับห้องมายัดของใส่กระเป๋า พักผ่อน เตรียมตัวกลับกทม.
06 มกราคม
วันสุดท้ายแล้ว ต้องกลับแล้ว ก็เช็คเอ้าท์แล้วก็เอาของไปฝากไว้ที่สถานีโตเกียวจากนั้นก็แวะไปขอพรที่ Senso-ji หรือวัดอาสากุสะที่เรารู้จักกัน ไปรับควันแห่งความฉลาดเข้าตัวนิดหน่อย แล้วก็เตรียมตัวไปสนามบิน
อย่างที่เกริ่นแต่แรกว่าเป็นทริปที่มีเพื่อนใจดีชวนไปเที่ยว
ทริปนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าขาดเพื่อนคนนี้ ขอบคุณเป็นภาษาไทยไปเขาก็คงไม่รู้เรื่องเนอะ
今までありがとう、今からよろしくね。