ตอนนี้ hashtag #ชีวิตในครึ่งปีแรก กำลังเป็นกระแสในทวิตเตอร์
นั่นสิ ชีวิตเราในครึ่งปีแรกของปีนี้เป็นยังไงกันนะ จะว่าสุขก็สุขไม่สุด จะว่าทุกข์ก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น
เดือนมกราคม กีฬามหาวิทยาลัยที่อุบลราชธานี เป็นครั้งแรก ๆ ที่ได้ออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด (นอกเขตปริมณฑล) เป็นเวลานาน ๆ เราหลงรักการทำงานที่ต่างจังหวัดเอาซะมาก ๆ ถึงแม้ว่าอุบลฯ จะมีรถติดบ้างในเวลาเช้า แต่เราก็ยังมีเวลาแวะทานอาหารเช้าได้ทุกวัน เป็นวิถีชีวิตที่ทำให้นึกย้อนไปถึงตอนเด็ก ๆ ที่ทุกเช้าคุณแม่จะพาไปทานจาโก้ย (ปาท่องโก๋) กับโอวัลตินร้อนก่อนไปโรงเรียน เป็นความรู้สึกแบบที่ทำให้เราพยายามจะหนีออกห่างจากเมืองหลวงมากขึ้น ๆ
จัดนิทรรศการภาพถ่ายครั้งแรกในชีวิต ส่วนใหญ่โครงการที่เรารับผิดชอบจะเป็นการสัมมนา หรือประชุม และเราเพิ่งมีโอกาสที่จะได้จัดนิทรรศการภาพถ่ายแรกในชีวิตก็เกิดขึ้นเมืองต้นปีที่ผ่านมานี่เอง เป็นอีกงานที่เราอยากเท และผลงานออกมาก็ไม่ดีเอาเสียเลย เป็นโครงการที่เราได้เรียนรู้ว่า ถ้าวันนึงได้ขึ้นเป็นผู้ใหญ่ขององค์กร ให้ลงมาดูการทำงานของลูกน้องบ้าง ไม่ควรนั่งอยู่แต่ในห้องประชุมแล้วคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง เพราะบางครั้ง เรื่องราวอาจจะไม่ได้ง่ายแบบที่คิด ๆ อยู่ก็ได้ เรานึกอยู่เสมอว่า ไม่อยากเป็นผู้บริหาร เราไม่เก่งเรื่องการจัดการคน ไม่ชอบใช้อำนาจสั่งคนอื่น ๆ และเราพยายามจะเป็นเพื่อนแม้กับน้องนิสิตที่เข้ามาติดต่องาน เราคิดว่าถ้าเราได้ใจเขามา เขาจะมาช่วยเราด้วยความเต็มใจ แต่ตอนนั้น เราลืมไปว่าเหรียญมีสองด้านเสมอ การที่พยายามไม่ออกคำสั่ง และขอความร่วมมือนั้น ทำให้เราล้มเหลวในการจัดการโครงการครั้งนี้ มองย้อนกลับไปทีไร ก็ไม่พอใจสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ
เดือนกุมภาพันธ์ ทำงานเดือนสุดท้ายที่จุฬา ฯ
เดือนสุดท้ายของการทำงานมาพร้อมกับการเคลียร์โครงการเก่า ๆ และเตรียมโครงการใหม่ ๆ เราทุ่มเทเวลาให้กับงานเยอะกว่าทุกครั้ง เราเศร้ากับการจากลา แต่ยิ่งทำงานหนักขึ้น ยิ่งรู้ว่า งานนี้ไม่ใช่งานที่เรารัก
งานที่เรารัก งานที่เราไม่รัก งานที่เหมาะกับเรา งานที่ไม่เหมาะกับเรา เราควรคิดยังไงกับเรื่องงานกันนะ เรามองเห็นพี่ ๆ ที่ทำงานที่ทำงานเดิมมาเป็นสิบ ๆ ปี เราได้แต่ตั้งคำถามว่า พี่ ๆ เขารักงานที่เขาทำหรือเปล่า หรือแค่ทำเพราะว่าเป็นงานที่เหมาะกับเขา เดือนนี้เราได้คุยกับพี่ ๆ ที่ทำงานเยอะขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการทำงาน และเพราะนี่เป็นครั้งแรก ๆ ที่เราเริ่มวางแผนเรื่องงานของเราในอนาคตอย่างจริงจัง เราเลยตั้งใจและพยายามเข้าใจเหตุผลของการมาทำงานของพี่ ๆ แต่ละคน มีพี่บางคนที่รักงานที่เขาทำอยู่มาก ถึงจะเหนื่อยจะเครียด แต่เขารู้สึกว่าการมาทำงานทำให้เขามีคุณค่า เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เราเลือกมาทำงานที่จุฬา ฯ แต่เขารักที่จะมา บางคนก็ต้องทำเพราะเลือกไม่ได้ บางคนก็ไม่ได้อยู่ในช่วงอายุที่จะลาออกได้อีกแล้ว บางคนก็กำลังหางานใหม่ แล้วเราล่ะ เราควรจะเลือกงานแบบไหน . . .
เดือนมีนาคม ว่างงานหนึ่งเดือน
เราตั้งใจลาออกจากงานหนึ่งเดือนก่อนการเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้น แค่นึกว่าต้องจัดการกับเอกสารเยอะแยะมากมายก็คงหมดเวลาแล้ว แต่ในความเป็นจริง เรารู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือมากเกินไปและสิ่งที่หมดก่อนเวลา คือ เงินที่อยู่ในกระเป๋า เราล้มเหลวในการจัดการเงินเดือนแม้กระทั่งเดือนสุดท้ายก่อนออกเดินทาง
เดือนนี้เองที่เราเริ่มเรียนภาษาใหม่ อย่างภาษาญี่ปุ่น แต่เพราะเรียนเอง และไม่ค่อยเก่งเรื่องภาษา เราเลยหมดเวลาหนึ่งเดือนไปกับฮิรางานะ และคำแนะนำตัวง่าย ๆ มาถึงที่ญี่ปุ่น สกิลที่มีอยู่แทบจะเท่ากับศูนย์ เรายอมแพ้ง่าย ๆ ให้กับเรื่องราวยาก ๆ ในชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
เดือนเมษายน เริ่มต้นชีวิตใหม่
การเดินทางมาเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นการเปลี่ยน chapter ของชีวิตเราเลยล่ะ เราได้มีโอกาสมาเรียนต่างประเทศครั้งแรก ได้ลองมาใช้ชีวิตคนเดียวครั้งแรก ได้อยู่ในสังคมที่ใช้ต่างภาษาเป็นครั้งแรก และมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราได้ทำเป็นครั้งแรก ๆ ในชีวิต
วันที่เดินทางออกมาจากไทย เราแทบจะไม่มีความเศร้าปนอยู่ในหัวใจเลย แม้ว่าวันนั้น จะมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นเยอะหลายอย่างก็ตาม
เดือนเมษายนที่วุ่นวายที่สุดในชีวิต ชีวิตเด็กหอที่สับสนกับการทิ้งขยะ การเข้าปฐมนิเทศนับครั้งไม่ถ้วน เดินเข้าร้านอาหารแต่ไม่เข้าใจว่าเขาคุยอะไรกับเรา คาบเรียนที่ทุกคนพูดแต่เราเงียบ ความกังวลเรื่องภาษาอังกฤษที่กวนหัวใจ สิ่งเหล่านี้ คือ ความรู้สึกที่พุ่งเข้ามาหาเราในช่วงเดือนแรก ตอนนั้น เรานึก ๆ ว่า โชคดีเหมือนกันนะ ที่เราไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว เรายังมีเพื่อน มีรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือกันอยู่
แต่พอเวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราเริ่มกังวลกับตัวตน การสร้างความสัมพันธ์และที่ยากกว่านั้น คือ การรักษาความสัมพันธ์ที่มีอยู่ให้เป็นความสัมพันธ์ที่ดี
เดือนพฤษภาคม (เขาว่ากันว่าเป็น) ช่วงฮันนีมูน
เขาว่ากันว่า เดือนที่สองจะเป็นเดือนที่ดีที่สุดของการมาอยู่ต่างประเทศ เราจะ home sick น้อยลง และเราจะยังไม่กังวลกับเรื่อง culture shock หรืออะไรแบบนั้น
สำหรับเรา เดือนพฤษภาคมก็เป็นเดือนที่ดีที่สุดจริง ๆ เราเพิ่งเริ่มบทเรียนมาได้สักระยะ และยังไม่มีการบ้านหรือ term paper เยอะจนทำให้กังวล เราเริ่มไปเที่ยวเองได้เพราะชินกับการใช้รถไฟใต้ดินบ้างแล้ว เราอ่านฮิรางานะได้เร็วขึ้น (แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่คล่อง)
แต่สิ่งที่เริ่มเข้ามาและทำให้เราเศร้าลง ๆ คือ เรื่องความสับสนใจตัวตนของตัวเอง การวางตัว การเข้าสังคม และเราก็มีภาวะ culture shock
เดือนมิถุนายน ภาวะซึมเศร้า (แต่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านะ)
เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีบ้างหรือเปล่า ไม่ดีแบบเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม เรารู้สึกแบบนั้น รู้สึกมากขึ้น ๆ ทุกวัน เราเป็นคนขี้รำคาญ มองโลกในแง่ลบ พูดจาห้วน ๆ และไม่ได้เป็นคนใจดีสักเท่าไหร่ เวลาเจอใครทำตัวใจร้าย (ในความรู้สึกของเรา) เราจะมีทัศนคติติดลบกับเขาไปเลย เราเป็นคนที่ไม่ชอบการโดนเอาเปรียบ (เราว่าไม่มีใครชอบหรอก) บางคนอาจเป็นคนใจดีที่มองว่า ถ้าทำให้เขาสบายใจได้ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึก
มันแย่มากเลยหรือเปล่า ที่เราไม่ต้องการให้ใครมาเอาเปรียบ มันแย่มากเลยหรือเปล่าที่เราเป็นคนที่ยืนหยัดกับความเสมอภาคของเรากับคนอื่น ๆ พอมาถึงวันนึงที่เราต้องทำงานกลุ่มกับคนหลาย ๆ ประเทศ ทำให้เรารู้จักนิสัยของแต่ละคน แต่ละประเทศ ยิ่งทำให้เราเฟล เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเหล่านั้นต้องเกี่ยงงานกันไปกันมา ทำไมไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเลือก เราคิดแต่ว่า ทำไมต้องใจร้ายกับเราแบบนี้
เราเป็นคนพูดจาห้วน ๆ เน้นไปทางตลกร้าย หลายครั้งที่เราพยายามให้ตลก แต่ไม่ตลกและมันยังทำให้เกิดความรู้สึกแย่ ๆ ไปอีก เราพยายามแก้ด้วยการพูดให้น้อยลง แต่พอพูดน้อยลงเราก็ยิ่งไม่อยากเข้าสังคม ไม่อยากยิ้ม ไม่อยากเจอใคร อยากอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ คนเดียว
สุดท้าย เรากลับมามองตัวเอง และเริ่มรังเกียจตัวเองที่เป็นคนแย่ ๆ เราสื่อสารไม่ได้ไม่ว่าจะภาษาไทยหรือภาษาอื่น ๆ ทักษะภาษาอังกฤษเราแย่ลงทุกวัน ๆ เรากังวลกับการพูดภาษาอังกฤษ จนเริ่มไม่พูดอะไรเป็นภาษาอังกฤษนอกจากเวลาประชุมงาน เราปิดใจให้ภาษาอังกฤษ ไม่อยากพูด ไม่อยากเขียน ไม่อยากสื่อสารอะไรทั้งนั้น
เราไม่อยากเข้าสังคม เรายิ้มน้อยลง เราไม่รู้ว่าเราควรจะรู้สึกอะไร เราไม่อยากไปประชุมงาน ไม่อยากเจอเพื่อนคนที่เอาเปรียบกัน ไม่อยากพบเจอคนที่มีแต่ข้ออ้างมาพรรณนา ไม่อยากเจอคนเห็นแก่ตัว ไม่อยากเจอคนมักง่าย ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น เราเกลียดตัวเอง และเราก็เกลียดสังคมที่นี่ . . . เราจมอยู่กับความเศร้า . . .
เดือนนี้เราทำอะไรบ้าง . . .
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา มี Thai Festival in Nagoya เป็นเทศกาลที่คึกคักตลอดทั้งวันเลยล่ะ มีคนไทย คนญี่ปุ่น และคนชาติอื่น ๆ มาแวะเวียนชิมอาหารไทย ดูการแสดงไทยกับเยอะแยะเลย เป็นโอกาสดีที่ได้ชิมอาหารไทย ได้เจอคนไทย ได้พบกับสิ่งที่คุ้นเคย ถือเป็นต้นเดือนที่ดีเลยทีเดียว
ปาร์ตี้หนักมาก.
เมื่อเดือนที่ผ่านมาเป็นวันเกิดเพื่อนชาวพม่า เขาอยากจัดงานวันเกิด มีปาร์ตี้เล็ก ๆ กัน จากนั้น ก็ไปต่อกันที่คาราโอเกะ เป็นครั้งแรก ๆ ที่เราต้องแบกเพื่อนเมา ๆ กลับหอตอนตีสี่ เป็นครั้งแรก ๆ อีกเหมือนกันที่เราได้ไปงานวันเกิดของเพื่อน เรารักการได้ถ่ายรูปในงานแบบนี้จัง มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาอีกนิด แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ในรูปนี้ก็ตาม . . .
ย้ายบ้าน
เราเพิ่งย้ายออกจากหอพักมหาวิทยาลัยเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน และตอนนี้กำลังจัดห้องใหม่อยู่ ห้องที่เรามาอยู่เป็นหอต่อจากพี่คนไทยที่เขากลับไทยไปเมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว ห้องค่อนข้างเก่า ในห้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างเยอะ สิ่งที่เกินความคาดหมายไปนิด คือ เราต้องทำความสะอาดห้องใหม่หมดเลย จนถึงตอนนี้ ยังไม่แน่ใจว่าจะต้องขยะชิ้นใหญ่ ๆ ไปทิ้งที่ไหนได้บ้าง ตั้งแต่ย้ายหอมาเป็นสองคืนแรก (ที่มาอยู่ญี่ปุ่น) ที่เรานอนไม่หลับ และถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ เราไม่รู้เหมือนกันว่า เราจะต้องทำยังไง
เมื่อวันแรกที่มาถึง เราเจอแมลงสาบตัวใหญ่อยู่ใต้ที่นอน (ขอบคุณพี่หนุยที่ช่วยจัดการให้) มุ้งลวดพัง (อันนี้ไม่รู้ว่ามันพังอยู่แล้วหรือว่าบริษัทแก๊สมาเปิดแล้วมันพัง 555) เรามองไปรอบ ๆ ห้องแล้วเราท้อ เราเหนื่อย . . .
ตรงนี้ ถ้าใครมีวิธีกำจัดแมลงสาบญี่ปุ่น (ตัวใหญ่น่ากลัว น่ารังเกียจ) ฝากแปะไว้ในคอมเม้นด้วยนะคะ เอาแบบทำปีละครั้งแล้วมันไม่หาเราอีกเลย คือ วิธีในเน็ตแบบบ้านแมลงสาบ หรือล่อให้มันมาตายรวม ๆ กัน เราไม่ไหวจริง ๆ เอาแค่วิธีที่มันไม่มาก็พอ ตอนนี้เราไม่กล้าทำความสะอาดครัวเลย เรากลัวจะเจอแมลงสาบมาก ฝากด้วยนะคะ
เราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเป็นยังไง เราอาจจะเศร้าลงกว่าเดิม หรือเราอาจยิ้มได้กว้างกว่าเดิม เรายังไม่รู้ว่าเราจะปรับตัวได้มากแค่ไหน แต่เราพยายามทุกวันเลย พยายามจะไม่เป็นภาระใคร พยายามจะไม่ทำตัวมักง่าย จะไม่เอาแต่สบาย จะต้องอยู่ให้ได้ แต่หลายครั้งที่เราเองก็อยากเดินไปศาลเจ้าใกล้ ๆ เพื่อจะขอให้โลกช่วยใจดีกับเรากว่านี้หน่อย นิดนึงก็ยังดี . . .
ขอให้ช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงชีวิตที่เข้มแข็งนะคะ
รูปภาพเดือนมิถุนายนค่ะ https://www.facebook.com/kooktfc/media_set?set=a.1317273168300374.1073741914.100000531102957&type=3